การ์ดแต่งงาน

การ์ดแต่งงานถือเป็นความประทับใจแรกสำหรับแขกในงานของเรา ทั้งยังสามารถใช้บอกสไตล์ของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้ บอกได้ว่างานที่จะต้องเข้าร่วมจะเป็นงานลักษณะใด จะอบอุ่น หรูหรา หรือจะปาร์ตี้เป็นกันเอง เราสามารถสื่อสารกับแขกได้โดยผ่านการ์ดแต่งงานของเรา

ทำความรู้จักการ์ดแต่งงาน

องค์ประกอบของการ์ดแต่งงานมีหลายส่วนที่บ่าวสาวควรทำความรู้จักหรือทำความเข้าใจเอาไว้ก่อน เพื่อที่เวลาไปเลือกการ์ดจะได้คุยรายละเอียดกับทางร้านแล้วไม่สับสน

1. Logo และแบบการ์ด โลโก้สำหรับงานแต่งงานค่อนข้างมีความสำคัญ เพราะจะเป็นภาพจำให้กับแขก เป็นสัญลักษณ์แทนตัวบ่าวสาว ที่จะนำไปใช้ในส่วนต่างๆของงานเพื่อบ่งบอกว่าคืองานของเรา เช่น นำไปใส่ในแท็กของชำร่วย อยู่บนฉากที่ใช้ถ่ายรูปกับแขก หรือนำไปใส่ในรูปภาพ photobooth เป็นต้น ตัวโลโก้นี้มีให้บริการ 2 รูปแบบ คือ ออกแบบให้ใหม่เลยตามบรีฟของบ่าวสาว หรือ เลือกตาม template ที่ร้านการ์ดมีแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อเรา ทั้งสองแบบนี้ต่างกันที่ค่าใช้จ่าย บ่าวสาวสามารถเลือกได้ตามงบที่แต่ละคู่ตั้งไว้ได้เลย

แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อย! สำหรับการใช้โลโก้แบบที่เป็น template ที่ร้านการ์ดมีอยู่แล้ว แบบนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าออกแบบ แต่ร้านจะไม่ให้ไฟล์ ai กับเรา หากต้องการไฟล์ ai จะต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งค่าไฟล์ ai ที่บางร้านคิด สามารถนำไปจ้างออกแบบโลโก้ที่เค้าให้ไฟล์ ai กับเราได้เลยก็มี จึงควรสอบถามร้านให้ดีตั้งแต่ขั้นตอนตกลงก่อนว่าจ้าง

ส่วนแบบการ์ดก็เช่นกัน มีทั้งแบบที่ออกแบบใหม่เพื่อให้ตรงตามความต้องการของบ่าวสาวแบบทุกรายละเอียดและไม่ซ้ำกับใคร กับแบบที่ทางร้านมี template อยู่แล้วซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ ความต่างก็จะอยู่ที่ราคาเป็นหลัก

2. ขนาดของการ์ดและซอง การ์ดแต่งงานมีให้เลือกหลายทรง หลายขนาด มีทั้งทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือแม้แต่ทรงวงกลมก็มี บ่าวสาวสามารถเลือกตามความชอบได้เลย ส่วนขนาดที่นิยมกันคือ ขนาด 5×7 นิ้ว เพราะแขกสามารถพกพาได้สะดวกไม่ใหญ่เกินไป หรือถ้าแจกผู้ใหญ่เยอะจะเลือกเป็นขนาด 6×8 นิ้วก็ได้ เพราะสามารถใส่ตัวได้ใหญ่หน่อยแต่ก็จะพกพายากขึ้น

ข้อควรระวัง! ถ้าเลือกการ์ดที่มีไซส์หรือทรงที่แปลก หรือพิเศษมากๆจะลำบากในการหาซองกรณีที่เราพิมพ์ซองผิดเยอะๆแล้วซองที่ทางร้านให้มาพร้อมกับการ์ดไม่พอ ถ้าจะต้องไปสั่งให้ร้านผลิตซองให้ใหม่เพิ่มก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่บานปลาย เพราะการผลิตซองใหม่เพิ่มจำนวนไม่เยอะ ราคาต่อซองก็จะแพงมาก เผลอๆแพงกว่าค่าการ์ดเสียอีก นอกจากนี้การ์ดที่เป็นขนาดมาตราฐานทั่วไปยังมีซองหลากสีให้เลือกมากมายอีกด้วย

3. ชนิดกระดาษและความหนาของกระดาษ ร้านการ์ดจะมีชนิดกระดาษให้เราเลือกหลายแบบ ซึ่งกระดาษแต่ละชนิดก็จะให้ความรู้สึกของเนื้อสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป ความหนาของกระดาษก็จะแตกต่างกันไปด้วย ความหนาของกระดาษนี้ยิ่งหนาจะยิ่งให้ความรู้สึกหรูหรา ราคาก็จะแปรผันไปตามความหนาด้วย เราสามารถเลือกความหนาและชนิดกระดาษให้เข้ากับธีมงานของเราได้ แต่อย่าลืมดูงบด้วยว่าราคายังอยู่ในงบรึเปล่า

4. เทคนิคพิเศษต่างๆ การ์ดมาตรฐานเริ่มต้นจะเป็นแค่กระดาษการ์ดที่มีความหนาประมาณ 230 แกรม พิมพ์ 4 สี แต่หากเราต้องการเพิ่มมูลค่าของการ์ด หรืออยากให้การ์ดดูสวยขึ้น ดูเก๋ขึ้น หรือดูดีขึ้น เราสามารถเพิ่มลูกเล่นหรือที่เรียกว่าเพิ่มเทคนิคพิเศษเข้าไปได้ ซึ่งเทคนิคพิเศษที่ว่านี้ ได้แก่

  • การปั๊มฟอยล์ จะเพิ่มมูลค่าของการ์ดโดยให้ความรู้สึกที่ดูหรูหราขึ้น ดูพิเศษขึ้น
  • การปั๊มนูน หรือปั๊มจม เป็นเทคนิคที่ทำให้ตัวอักษรในการ์ดมีลักษณะนูนขึ้น หรือจมไปกับกระดาษ เพิ่มลูกเล่น ทำให้การ์ดดูเก๋ขึ้น ดูมีความพิเศษกว่าการ์ดปกติทั่วไป

บ่าวสาวสามารถเลือกเทคนิคพิเศษต่างๆเหล่านี้ได้ตามความชอบ หรือตามสไตล์ของคู่ตัวเองได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมดูงบประมาณที่ตั้งไว้ด้วย เพราะเทคนิคพิเศษแต่ละอันก็จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนที่เราเลือกมีว่าจะใช้กี่เทคนิคราคาก็เพิ่มไปตามนั้น

เตรียมตัวก่อนเลือกการ์ด

1. กำหนดงบประมาณ เช็คจำนวนการ์ดที่จะสั่ง ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกการ์ดแต่งงานสิ่งที่บ่าวสาวควรทำคือกำหนดงบสำหรับการ์ดแต่งงานก่อน เพราะเรทราคาการ์ดแต่งงานค่อนข้างกว้าง การกำหนดงบจะทำให้ตัวเลือกของเราแคบลง และยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย นอกจากรู้งบแล้วสิ่งที่ต้องรู้อีกอย่าง คือจำนวนการ์ดที่จะสั่ง เพราะราคาการ์ดก็ขึ้นอยู่กับจำนวนการ์ดที่เราจะสั่งด้วย ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลจำนวนการ์ดมาจากการเตรียมงานในขั้นตอนของการจดรายชื่อที่เราทำไว้ตั้งแต่เริ่มเตรียมงานได้เลย

2. หา reference ที่ชอบ เวลาเราไปร้านการ์ดแต่งงานจะมีการ์ดให้เราดูหลายพันแบบ ซึ่งจะทำให้เราตาลายมากๆ ดังนั้นเราควรทำการบ้านกันไปก่อน ลองหา reference จากใน Pinterest หรือจากใน Facebook หรือ Instagram ว่าเรามีความชอบประมาณไหน ตกลงกันระหว่างบ่าวสาวว่าอยากได้การ์ดแนวไหน แล้ว save รูปแยกไว้หนึ่งอัลบั้มเลย เวลาที่เราไปร้านการ์ดเราจะได้เปิดให้ร้านดูว่าเราชอบแนวประมาณนี้ให้ร้านรวบรวมแบบแนวที่เราชอบมาให้เราเลือก ก็จะช่วยเราให้ประหยัดเวลาและง่ายต่อการเลือกเยอะขึ้นมากๆ

3. เตรียมข้อมูลให้พร้อม ในวันที่เราจะต้องไปร้านการ์ดและตกลงสั่งทำการ์ด บ่าวสาวจะต้องให้ข้อมูลรายละเอียดงาน หรือรายละเอียดที่จะใส่ลงในการ์ดกับทางร้าน ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ ดังนั้นถ้าเราเตรียมข้อมูลเอาไว้ล่วงหน้า ก็จะช่วยให้การเตรียมงานในส่วนนี้ราบรื่นมากยิ่งขึ้น โดยข้อมูลที่บ่าวสาวจะต้องเตรียมให้ร้านการ์ดมีดังนี้

  • ชื่อจริง-นามสกุล เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ชื่อเล่น เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ชื่อ-นามสกุล คุณพ่อคุณแม่ของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
  • วันที่, เวลา ที่จัดงาน
  • สถานที่, ชื่อห้อง, ชั้น ที่จัดงาน
  • รูปแบบการจัดเลี้ยง (โต๊ะจีน, บัฟเฟ่ต์, ค็อกเทล)
  • Dress code
  • Hashtag งาน

ส่วนใหญ่ที่บ่าวสาวจะใช้เวลาในการคิดนานคือ Dress code และ Hashtag งาน ดังนั้นถ้าเตรียมตัวคิดไปก่อนได้จะดีมาก จะช่วยให้ขั้นตอนการออกแบบการ์ดรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องมารอข้อมูลจากบ่าวสาวอีก

คำแนะนำ Dress code เป็นสิ่งที่ควรมี เพราะจะช่วยกำหนดทิศทางในการเลือกชุดให้กับแขกได้ง่ายขึ้น ถ้ากังวลว่าจะทำให้แขกลำบากต้องมาหาชุดสีตามธีมงาน ก็ให้เลือกเป็น color palette มีสีให้แขกเลือกใส่ได้หลายสี การไม่กำหนด Dress code เลย จาก feedback ที่เคยจัดงานมา เป็นเรื่องยากสำหรับแขกมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าควรใส่สีอะไรไปดี

การ์ดงานหมั้น VS การ์ดงานเลี้ยงฉลอง

ไม่ว่าบ่าวสาวจะจัดงานหมั้นวันเดียวกันหรือคนละวันกับงานเลี้ยงฉลอง จะจัดแบบหมั้นตอนเช้า-เลี้ยงฉลองตอนเย็น หรือจะหมั้นตอนเช้า-เลี้ยงฉลองตอนกลางวัน การ์ดงานหมั้นกับการ์ดงานเลี้ยงฉลองก็ควรแยกกันคนละใบ ยกเว้นว่าแขกที่เชิญมางานหมั้นเป็นชุดเดียวกันกับที่เชิญมางานเลี้ยงฉลองแบบเหมือนทั้งรายชื่อและจำนวน เหตุผลที่ต้องแยกการ์ดเพราะว่าแขกที่เชิญมางานเลี้ยงฉลองไม่ใช่ทุกคนที่บ่าวสาวจะเชิญมางานหมั้นนั่นเอง ถ้าเกิดว่าเราใส่ข้อมูลทั้งงานหมั้นและงานเลี้ยงฉลองไว้ในการ์ดใบเดียวกันเลยจะทำให้แขกสับสนได้ว่าเชิญมาทั้งสองงาน

ซึ่งโดยปกติจะนิยมทำการ์ดงานหมั้นเป็นการ์ดใบเล็กกว่าการ์ดงานเลี้ยงฉลอง เรียกว่าการ์ดแทรก สำหรับเอาไว้ใส่คู่ไปกับการ์ดงานเลี้ยงฉลองสำหรับแขกที่เราจะเชิญมาทั้งงานหมั้นและงานเลี้ยงฉลอง ไม่จำเป็นต้องแยกการ์ดงานหมั้นเป็นอีกซอง เพราะโดยปกติงานหมั้นแขกจะไม่ได้ใส่ซองอยู่แล้ว จึงจะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช่จ่าย และอาจทำให้แขกสับสนด้วย

สำหรับบางงานที่แขกงานหมั้นมีจำนวนไม่เยอะ การ์ดงานหมั้นอาจไม่จำเป็นต้องพิมพ์เป็นการ์ดจริงก็ได้ ใช้เป็นการ์ดอิเล็กทรอนิกส์แทนก็สะดวกและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายดี

เลือกร้านทำการ์ดแต่งงาน

การเลือกร้านทำการ์ดแต่งงาน ขั้นต้นเราอาจจะดูผลงานจากทางออนไลน์ประกอบการเช็คข้อมูลราคาคร่าวๆก่อนว่าร้านที่เราสนใจราคาอยู่ในงบหรือไม่ ถ้าเจอร้านที่สนใจมากกว่าหนึ่งร้าน แนะนำว่าให้คัดเหลือประมาณ 2-3 ร้าน แล้วไปดูการ์ดของจริง โดยเริ่มต้นดูจากร้านที่เราชอบที่สุดก่อนเพราะการ์ดแต่งงานจะสร้างความประทับใจได้จากการเห็นของจริง ดังนั้นเราจึงควรไปเลือก ไปดูให้เห็นของจริงว่าคุณภาพการ์ดเป็นแบบที่เราชอบจริงๆหรือไม่ 

การเลือกการ์ดใช้เวลาเยอะ ใช้พลังงานเยอะมากๆ ดูเยอะ คุยรายละเอียดเยอะ ถ้าไปดูร้านที่ชอบแล้วคุณภาพการ์ดของจริงโอเค ร้านตีราคาออกมาให้ตามข้อมูลที่เราให้แล้วราคาอยู่ในงบ เชื่อว่าบ่าวสาวหลายคนก็ตัดสินใจเลือกแล้ว แต่ถ้าร้านแรกยังไม่ลงตัว รู้สึกว่าการ์ดสวยแต่ราคาแรงเกินงบไปหน่อย แบบนี้จะลองไปดูร้านที่สองก่อนก็ได้ จะได้เป็นการเปรียบเทียบและหาข้อสรุปร้านที่ลงตัวกับคู่เรามากที่สุด

ก่อนตัดสินใจเลือกร้าน อย่าลืมคุยเรื่องระยะเวลาการทำงานแต่ละขั้นตอนให้ดี  ถ้าเป็นไปได้ให้ร้านระบุระยะเวลาแต่ละช่วงการทำงานลงในสัญญาเพื่อความชัดเจนด้วยยิ่งดี จะได้มั่นใจว่าการ์ดเราจะเสร็จทันเวลา

ควรสั่งการ์ดจำนวนเท่าไร

ย้อนกลับไปที่การจดรายชื่อแขก เราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายกับการสั่งทำการ์ดได้หากเราทำการบ้านเรื่องการจดรายชื่อแขกมาอย่างดี เพราะเราจะเห็นได้เลยว่าเรามีแขกที่ต้องแจกการ์ดจริงจำนวนเท่าไร เนื่องจากไม่มีสูตรการคิดอย่างตายตัวว่างานที่จะเชิญแขกจำนวนเท่านี้จะต้องใช้สูตรอะไรในการคำนวณหาจำนวนการ์ดที่ต้องสั่ง เพราะแขกและผู้ติดตามของแต่ละงานไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าการเชิญ 1 รายชื่อจะมีผู้ติดตามอีก 1 คนด้วยเสมอไป บางงานแขกส่วนใหญ่มาเดี่ยว บางงาน 1 รายชื่อมากันเป็นครอบครัว ดังนั้นการจดรายชื่ออย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้นเตรียมงาน หรือช้าที่สุดก่อนสั่งพิมพ์การ์แต่งงานจึงเป็นวิธีที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อบ่าวสาวมากที่สุด ถ้าบ่าวสาวจดรายชื่อมาอย่างดีแล้ว การสั่งการ์ดแทบจะไม่ต้องเผื่อจำนวนเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะเผื่อก็เพียงเล็กน้อย สัก 5% สำหรับกรณีตกหล่นหลงลืมจริงๆ

การพิมพ์ซองการ์ดเชิญ

สามารถทำได้ 2 วิธี คือ พิมพ์ด้วยตัวเอง หรือจ้างร้านพิมพ์

1. พิมพ์ด้วยตัวเอง ถ้าบ่าวสาวมีเครื่องพิมพ์ inkjet อยู่แล้วก็สามารถพิมพ์ซองการ์ดเชิญด้วยตัวเองได้เลย ด้วยการ search หา template การพิมพ์ซองตามขนาดซองของตนเองในอินเตอร์เนต ข้อดีคือสะดวก สำหรับงานที่มีการอัฟเดตรายชื่อแขกอยู่เรื่อยๆ หรือตามชื่อ-นามสกุลสำหรับพิมพ์ซองมาได้ไม่พร้อมกันหมด ก็จะค่อยๆทยอยพิมพ์ไปได้ ไม่ต้องรอให้ครบแล้วส่งให้ร้านทีเดียวเหมือนการจ้างพิมพ์ และยังประหยัดกว่าไปจ้างอีกด้วย

2. จ้างร้านพิมพ์ เหมาะสำหรับบ่าวสาวที่ไม่มีเครื่องพิมพ์ inkjet และไม่อยากซื้อเครื่องใหม่ หรือไม่มีเวลา การจ้างก็เป็นอะไรที่สะดวกดี แต่มีข้อแม้ว่าต้องเตรียมรายชื่อให้ครบถ้วนทีเดียว จะไม่สามารถไปสั่งพิมพ์ทีละ 2,3 รายชื่อได้ ซึ่งก็ต้องคำนวณเวลาดีๆด้วย ถ้ารวบรวมและสั่งพิมพ์ช้าก็อาจจะทำให้แจกการ์ดไม่ทันได้

ข้อควรระวัง! เครื่องพิมพ์เลเซอร์ไม่สามารถพิมพ์ซองการ์ดเชิญได้ ด้วยข้อจำกัดเรื่องความหนาของกระดาษ หากฝืนทำอาจทำให้เครื่องพิมพ์เสียได้