แสงและเสียง ไม่ได้เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานแต่งงานแต่ แสงและเสียง ที่ดีจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาร่วมงานของคุณได้อย่างแน่นอน
ระบบเสียง Sound System
ก่อนอื่นเราต้องอธิบายถึงแสงและเสียงที่มากับสถานที่จัดงานก่อน โดยปกติทุกๆสถานที่จัดงานก็จะมีอุปกรณ์เสียงรวมถึงชุดหลอดไฟที่ให้ความสว่างกับพื้นที่ในงานเป็นพื้นฐานให้อยู่แล้ว แต่เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าห้องจัดเลี้ยงโดยทั่วไปไม่ได้จัดเฉพาะแค่งานแต่งงานเพียงอย่างเดียว เพราะปกติก็จะรับจัดงานสัมมนา งานประชุม หรืองานจัดเลี้ยงอื่นๆด้วยอยู่แล้ว
เราจะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่างงานแต่งงานและงานจัดเลี้ยงประเภทอื่นๆ
อ่านต่อ..
งานประชุมหรืองานสัมมนา ถึงแม้ว่าจะมีแขกมาร่วมงานในจำนวนที่เท่ากันกับงานแต่งงาน อาจจะเป็น 400-500 คน แต่ในงานประชุมทั่วๆไป จะมีผู้ดำเนินรายการ และผู้บรรยาย ที่จะถือไมค์เพื่อพูดให้แขกทั้ง 400-500 ท่านรับฟัง โดยตามมารยาทแล้วแขกที่นั่งอยู่ด้านล่างก็จะนั่งฟังอย่างเงียบๆ ถ้าจะมีคำถามหรือจะมีการพูดคุยเกิดขึ้นก็จะใช้วิธีการยกมือตามหลักปฏิบัติสากล

ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงาน เพราะงานแต่งงานเป็นงานที่รวมญาติทั้ง 2 บ้าน รวมถึงเพื่อนของทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว ซึ่งในบางงานอาจจะเหมือนเป็นงานเลี้ยงรุ่นของทั้งคุณพ่อคุณแม่และตัวบ่าวสาวเอง เป็นงานที่คนที่รู้จักกันเท่านั้นถึงจะมาร่วมงาน แขกทั้ง 400-500 คนก็จะไม่ได้นั่งฟังอยู่เงียบๆเหมือนแขกในงานสัมมนา เพราะโดยส่วนมากก็จะไม่ได้เจอกันมานานก็จะพูดคุยเฮฮากันอย่างสนุกสนาน ให้ลองคิดภาพว่ามีแขกจำนวน 400-500 คนคุยกันอยู่ตลอดเวลา ปกติเสียงในงานแต่งจะค่อนข้างดังกว่างานประเภทอื่นๆ อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคืองานประเภทโต๊ะจีน ที่อาหารจะเสิร์ฟพร้อมๆกันในแต่ละโต๊ะ ทำให้ช่วงเวลาพิธีการระบบเครื่องเสียงก็ต้องสู้กับเสียงทานอาหารของแขก ที่ทานพร้อมๆกันหลายร้อยคน อยากให้ลองนึกถึงช่วงพักเที่ยงของโรงอาหารตามโรงเรียน นอกจากเสียงทานอาหารแล้วก็ยังมีเสียงคุยของแขกในทุกๆจุดของงานอีกด้วย
การที่มีระบบเครื่องเสียงที่ดีจะช่วยให้พิธีกรสามารถดึงความสนใจของแขกทุกคนให้โฟกัสอยู่ที่คู่บ่าวสาวได้ตลอดพิธีการ การเปิดฉายวีดีโอ Presentation วีดีโอ Cinema พิธีหมั้นช่วงเช้า วงดนตรี หรือ การเปิดเพลงของดีเจในงาน After Party ก็จะมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นอีกด้วย
ระบบแสง Lighting System
ระบบแสงก็เช่นเดียวกัน ห้องจัดเลี้ยงถูกออกแบบมาเพื่อจัดงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานประชุม งานสัมมนา หรืองานจัดเลี้ยงทั่วๆไป ทีนี้เราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าระบบแสงที่อยู่ในห้องจัดงานถูกออกแบบมาเพื่อส่องสว่างในห้อง เพื่อให้ทั้งห้องสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจน แต่ไม่ใช่ระบบแสงที่ออกแบบมาเพื่อการจัดงาน Event อย่างเช่น งานแต่งงาน ซึ่งโดยระบบเดิมก็จะสามารถทำได้แค่เปิดให้สว่างที่สุด ลดความสว่างลง 50% และแบบสุดท้ายคือปิดทั้งหมด ซึ่งระบบแสงแบบนี้จะเป็นมาตรฐานที่ใช้อยู่ทั่วๆไปตามโรงแรม


งานเลี้ยงฉลองที่ถูกจัดในห้องจัดเลี้ยง โดยส่วนมากแล้วจะมีการตกแต่งงานโดยเฉพาะตามความต้องการของคู่บ่าวสาว ซึ่งแสงที่อยู่ในงานก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างดูสวยขึ้น และนั่นก็รวมไปถึงภาพถ่ายและวีดีโอทั้งหมดของงานก็จะสวยตามขึ้นไปด้วย ซึ่งมันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
ข้อเสียเดียวของการมีทีมแสงและเสียงเข้ามาดูแลนั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น คู่บ่าวสาวอาจจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมและงบประมาณของตัวเองดูก่อนว่า สามารถที่จะใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มเติมได้ไหม
Lighting System VS Photography Light
อีกส่วนหนึ่งที่คู่บ่าวสาวมักจะเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆนั่นคือ ชุดไฟของช่างภาพ กับ ชุดไฟที่มากับทีมแสงและเสียง ตรงนี้คู่บ่าวสาวต้องทำความเข้าใจก่อนว่าอุปกรณ์ทั้ง 2 อย่างนี้มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่สามารถใช้แทนกันได้

อุปกรณ์ของช่างภาพเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อส่องสว่างให้กับแบบเพื่อการถ่ายภาพเท่านั้น ซึ่งจะสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามคู่บ่าวสาว ทำงานด้วยระบบแบตเตอรี่ ทำให้ความสว่างไม่เท่ากับระบบแสงแบบอื่นๆ โดยในบางจุดเช่นหน้า Backdrop จะเป็นการใช้ไฟแฟลช ซึ่งจะไม่ได้ส่งสว่างแบบต่อเนื่อง แต่จะเป็นแสงวาบขึ้นมาเฉพาะตอนที่ช่างภาพกดถ่ายภาพเท่านั้น อุปกรณ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถถ่ายภาพได้ดีที่สุดในสภาวะที่ไม่มีแสงเพียงพอ ซึ่งจะแตกต่างอย่างชัดเจนกับระบบไฟแบบอื่นๆ

ระบบแสงสำหรับการจัดงานอีเว้นท์ก็จะมีอุปกรณ์ที่มีหลากหลาย และ แตกต่างกัน โดยบางประเภทจะใช้เพื่อสร้างบรรยากาศ รวมถึง mood and Tone ให้กับงาน และบางประเภทจะใช้เพื่อส่องสว่างเป็นพื้นที่กว้าง โดยอุปกรณ์แต่ละชนิดจะถูกออกแบบโดยทีมแสงและเสียงเพื่อให้เหมาะกับงานนั้นๆ ซึ่งจุดประสงค์หลักจะใช้เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ร่วมชมงานมากกว่าเพื่อการถ่ายภาพเพียงอย่างเดียว